มันอาจจะฟังดูแปลกๆ เพราะจะมีสักกี่คนที่เชื่อว่า กาแฟสามารถช่วยทำให้หูของคุณดีขึ้นได้จริงๆ สำหรับคนที่รักกาแฟ อาจเป็นข่าวดี ซึ่งเป็นการศึกษาที่แสดงให้เห็นข่าวใหม่ นอกจากนี้คาเฟอีนยังมีคุณสมบัติที่ช่วยเร่งการเผาผลาญ ที่อาจทำให้คุณสามารถลดน้ำหนักได้อีกด้วย
นักวิจัยพบว่า ผู้หญิงที่มีการบริโภคคาเฟอีนในปริมาณที่สูงนี้ มีโอกาสน้อยที่จะมีอาการเกี่ยวกับหูอื้อ
กล่าวคือ อาการหูอื้อหรือหูตึง คือ ภาวะที่ผู้ป่วยมีความสามารถในการรับเสียงแย่ลง โดยจะเกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งความผิดปกตินี้นอกจากจะเป็นปัญหาของผู้ป่วยแล้วยังอาจถือเป็นปัญหาของคนรอบข้างด้วยเช่นกัน เพราะคนรอบข้างผู้ป่วยอาจมีปัญหาจากการที่ต้องตะโกนสื่อสารกันเป็นเวลานานได้ เช่น เสียงแหบ เป็นต้น
ในการศึกษา ทดลองกับผู้หญิงอเมริกันกว่า 65,000 คน ที่มีอายุระหว่าง 30 ถึง 44 ปี ซึ่งไม่ได้มีอาการหูอื้อแต่อย่างใด และ กลุ่มที่อายุ 18 ปี ในช่วงระหว่างนั้น มีเกือบ 5,300 เคสที่เกี่ยวกับโรคหูอื้อ ซึ่งได้รับรายงานว่า ส่วนใหญ่จะเกิดกับผู้หญิง
ผู้หญิงที่บริโภคคาเฟอีนน้อยกว่า 150 มิลลิกรัมต่อวันนั้น (ประมาณหนึ่งและครึ่งถ้วยของกาแฟ 8 ออนซ์) คิดเป็นประมาณ 15 % ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถเป็นโรคหูอื้อได้มากกว่าคนที่บริโภคคาเฟอีน 450 มิลลิกรัม ถึง 599 มิลลิกรัม ซึ่งนักวิจัยพบว่า
ผู้ที่บริโภคคาเฟอีนส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง ตามการศึกษาของวารสาร American Journal of Medicine ในฉบับเดือนสิงหาคมพบว่า
มันไม่ชัดเจนนักว่า ทำไมการบริโภคคาเฟอีนในระดับที่สูงขึ้นจะสามารถลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหูอื้อได้ ศึกษาโดย ดร. Gary Curhan นักวิจัยบริกแฮมและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านยาที่ Harvard Medical School ในบอสตันกล่าวว่า
“เรารู้กันดีว่า คาเฟอีนช่วยในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางและเกี่ยวกับการวิจัยก่อนหน้านี้ที่แสดงให้เห็นว่า คาเฟอีนมีผลกระทบโดยตรงต่อหูชั้นในทั้งในการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และการทดลองในสัตว์” เขากล่าวที่งานแถลงข่าวที่โรงพยาบาล
ความสัมพันธ์ระหว่างการบริดภคคาเฟอีนและอาการหูอื้อ ในการศึกาทดลองนั้นไม่ได้พิสูจน์ถึงความสัมพันธ์ที่เป็นเหตุเป็นผลมากนัก การวิจัยเพิ่มเติมจึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนที่จะมีการสรุปใดๆ เกี่ยวกับ การเพิ่มปริมาณคาเฟอีนจะช่วยทำให้อาการหูอื่อดีขึ้นได้
ดังนั้นเราอาจจะต้องติดตามข่าวการทดลองและการศึกษาใหม่ๆเกี่ยวกับคาเฟอีนและอาการหูอื้อว่า ผลเป็นเช่นไร สามารถนำมาช่วยเรื่องอาการได้จริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าจะมีนักวิทยาศาสตรร์ออกมากล่าว แต่ก็อาจจะได้ผลที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลได้