เรื่องของความเครียดจากการทำงานนี้ เป็นปัญหาที่หลายๆคนประสบพบเจอกันอยู่บ่อยๆ และหาวิธีแก้ได้ยาก ไม่ว่าจะไปที่ไหน กลับต้องพบเจอปัญหามากมายจากออฟฟิศอยู่เรื่อยไป ไม่ว่าจะ สภาพแวดล้อมการทำงาน การเดินทาง เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย และค่าใช้จ่ายอีกมากมาย ด้วยความเครียดนี้อาจส่งผลต่อสุขภาพของคุณได้ ดังนั้นบทความนี้เราจึงขอเสนอวิธีที่จะทำให้คุณผ่อนคลายและเรียนรู้วิธีการทำงานได้อย่างฉลาดมากขึ้น ไม่ใช่ทำงานให้หนักขึ้น แต่เป็นการช่วยลดความเสี่ยงจากการจะเกิดโรคภัยตามมาทีหลังนั่นเอง
หากคุณคิดถึงความเครียดเรื่องงาน คุณอาจคิดถึงงานด่วนหรือเรื่องด่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นงานที่ต้องส่งตามกำหนด หรือ การต้องรายงานกับหัวหน้า เราต้องยอมรับว่า วิถีชีวิตแบบนี้เต็มไปด้วยปัจจัยที่เป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและอาการเจ็บป่วยอื่นๆ อย่างเช่น ต้องยอมทานอาหารที่มีไขมันและโซเดียมสูงๆ เพราะเวลาที่เร่งด่วน การอดหลับอดนอน และการที่ไม่มีเวลาออกกำลังกาย นอกจากนี้ยังเป็นไปได้ว่า ปัจจัยทางด้านพันธุกรรมชนิด A ที่ส่งผลให้คนนั้นเป็นผู้บริหารใหญ่ ก็อาจเพิ่มความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคหัวใจได้ด้วยเช่นกัน
จากสถิติแสดงให้เห็นว่า คนที่อยู่ในระดับ CEO นั้นมีบุคลิกที่ค่อนข้างก้าวร้าว และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาก้าวมาถึงขั้นใหญ่โตนี้ได้ ซึ่งคำกล่าวนี้เป็นคำกล่าวของ นายแพทย์ เจอรรี่ คอร์นเฟลด์ ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเครียด เขายังกล่าวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า ตอนนี้เราทราบแล้วว่า บุคคลที่มีบุคลิกก้าวร้าวนั้น มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจมากกว่าคนปกติ นอกจากนี้เรายังพบว่าสตรีผู้ที่กำลังจะก้าวขึ้นตำแหน่ง ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจได้เช่นเดียวกัน
แต่ปัจจัยเสี่ยงที่สุด นั่นก็คือ ความเครียดและรวมไปถึงคนประเภทที่อยู่ติดกับงานมากเกินไป เช่น การอยู่บนเครื่องบินโดยสารแต่ยังทำงานโดยใช้โน๊ตบุ๊คระหว่างโดยสารไปด้วยนั้น ทุกวันนี้เรารู้สึกว่า เวลามันเดินอย่างรวดเร็วมาก และเราต้องทำงานมากกว่าหนึ่งอย่างในตำแหน่งเดียว ไม่ว่าจะเป็นที่ออฟฟิศหรือที่บ้านก็ตาม ผลจากความเครียดนี้นอกจากนำไปสู่โรคต่างๆแล้ว ยังนำไปสู่การกินที่มากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักของคุณเพิ่ม และเป็นปัญหาที่คุณต้องลดน้ำหนักอีกด้วย
ในขณะที่ความเครียดมีความเสี่ยงต่อโรคหลายๆชนิด แต่ก็ไม่ได้เป็นผลเสียเสมอไป เดวิด อัลเลน ซึ่งเป็นประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท The David Allen Company ที่เป็นบริษัทที่จัดอบรม กล่าวว่า เราจะเติบโตไม่ได้เลยหากว่าเราไม่มีความเครียด ความเครียดด้านลบต่างหากที่เป็นอันตราย หากว่าคุณไม่สามารถหาทางออกได้ คุณก็จะเกิดความท้อถอย จุดประสงค์ของเราคือ เราไม่ได้ต้องการจำกัดความเครียดที่เกิดขึ้น แต่เราต้องการใช้ความเครียดในการกระตุ้นบางอย่าง นั่นเอง
ทางออกของความเครียด
เราต้องเรียนรู้ที่จะรับมือกับความเครียด ใช้เวลาให้คุ้ม ลดความเครียดและจัดการให้สำเร็จ ขั้นตอนต่างๆเหล่านี้จะใช้ได้ผลดีกับคนที่อยู่ในระดับล่างๆขององค์กรและอาจช่วยส่งผลให้เราสามารถขึ้นตำแหน่งได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ทางออกที่ 1 การทำให้สำเร็จ
วิธีหนึ่งที่จะลดความเครียดก็คือ การทำงานนั้นจริงจัง คุณต้องหายใจลึกๆเตรียมพร้อมเท่าที่ต้องการ เมื่อคุณได้ลองเข้าไปจัดการกับปัญหาและทำหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบนั้น จะทำให้คุณมีความเครียดที่น้อยลงไป
เดวิด อัลเลน แนะนำว่า เขาใช้กฎ 2 นาที กล่าวคือ หากมีบางอย่างที่คุณต้องการทำที่สามารถทำได้ภายใน 2 นาทีหรือน้อยกว่านั้น ให้ทำให้เสร็จเดี๋ยวนั้น อย่าผัดวันประกันพรุ่ง แล้วจะทำให้คุณหมดเรื่องที่ต้องคิดไปทีละอย่างๆ ใช้ความได้เปรียบกับเวลาเล็กๆน้อยๆ เช่น แทนที่จะหัวเสียกับเที่ยวบินที่ล่าช้า ก็ให้นำโทรศัพท์มือถือและสมุดนัดหมายออกมา แล้วเริ่มเรียบเรียงรายชื่อที่โทรเข้าโทรออก หรือบันทึกว่าจะมีงานเสนอเมื่อไหร่ แล้วจัดการให้เรียบร้อย นอกจากนี้การมองไปรอบๆโต๊ะทำงาน ของบนโต๊ะไม่ได้เป็นของที่อยู่ถาวรบนโต๊ะเสมอไป ไม่ว่าจะหนังสือ ปากกา ภาพถ่ายในกรอบ ล้วนเป็นตัวแทนของงานที่ยังไม่เสร็จทั้งสิ้น ให้พยายามเขียนรายการโทรศัพท์ที่ติดต่อมาทุกสายและทำการตอบกลับให้หมด E – Mail ก็เช่นเดียวกัน งานที่ต้องทำทุกอย่างที่อยู่บนโต๊ะที่ยุ่งเหยิงวุ่นวาย ให้จัดการอยู่ในสมุดเป็นเล่ม เพื่อรวบรวมและเป็นที่ในการเก็บงานมากขึ้นและนำมาจัดเรียงสิ่งที่ต้องทำ และทำงานนั้นอย่างเป็นขั้น
ทางออกที่ 2 การอยู่กับปัจจุบัน
หากคุณอยู่ที่บ้านแต่จิตใจยังครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องงาน มันจะทำให้คุณใช้เวลาที่ผ่อนคลายได้ไม่เต็ม 100 % “ให้ทำสิ่งที่กำลังทำในตอนนั้นและอย่าทำในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำตอนนั้น” เป็นคำกล่าวของ เฮล ดวอสกิ้น ผู้คิดค้นคอร์สอบรมในการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่ มลรัฐแอริโซน่า พูดง่ายๆก็คือ การอยู่กับปัจจุบัน นั่นเอง และให้เพ่งความสนใจกับงานที่ทำอยู่ในขณะนั้นมากกว่า และให้ความสำคัญกับมันอย่างเต็มที่ และปล่อยงาน ความรับผิดชอบอื่นๆไว้ทำทีหลัง
อีกอย่างหนึ่งที่จะช่วยให้คุณสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้ดี คือ การปล่อยวางเรื่องที่คุณไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สุขภาพของคนในครอบครัว การตัดสินใจของหัวหน้าเกี่ยวกับการเลื่อนตำแหน่งของคุณ และเพื่อช่วยให้คุณผ่อนคลาย ให้ใช้เวลาสัก 2 ถึง 3 นาที จดบันทึกดูว่า ในสถานการณ์ที่อาจเกิดปัญหา คุณจะมีการตอบสนองด้วยความรู้สึกอย่างไร เข้มแข็งอย่างไร แล้วจัดตารางการตอบสนองนั้นไว้เป็นแผนการประจำวัน จากนั้นก็ลืมมันไปก่อน และจัดการสิ่งที่ต้องทำให้เต็มที่ต่อไป
และหากคุณเป็นคนทำอะไรด้วยความเร่งรีบ ขอให้เพลาๆลงมาบ้าง เราเร่งรีบทำงานของเรา ซึ่งจะเป็นไปโดยอัตโนมัติและใจเราก็จะมุ่งไปที่มันจริงๆเพียงแค่ครึ่งเดียว นอกจากนี้พอเรารีบ เราก็จะทำผิดพลาด และนั่นก็จะทำให้เราเครียดไปกันใหญ่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าให้คุณทำงานอย่างเชื่องช้า แต่ค่อยๆสร้างทัศนคติในใจว่า คุณมีเวลาไม่จำกัดที่จะทำงานนั้นให้ลุล่วง ซึ่งมันจะเป็นการเพิ่มสมาธิให้คุณสนใจกับงานนั้นมากยิ่งขึ้น และเป็นการเพิ่มปริมาณที่ได้และลดความเครียดลง
ทางออกที่ 3 การดูแลสุขภาพทั้งของจิตใจและร่างกาย
ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาเรื่องการลดน้ำหนัก เพราะหากคุณเครียดเพิ่มขึ้น ความอยากทานอาหารก็จะเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
เราสามารถรับมือกับความเครียดได้จนกระทั่งเราหมดแรงไปเอง แต่ในบางครั้ง ทั้งจิตใจและร่างกายก็ยังต้องการความช่วยเหลือกันอยู่บ้าง การใช้สมุนไพรและอาหารเสริมจะช่วยได้ในเรื่องนี้
การเริ่มต้นทานสมุนไพร คาว่า (Kava) วันละ 60 ถึง 75 มิลลิกรัม หากว่าได้ผลคุณสามารถเพิ่มปริมาณเป็นวันละ 2 ถึง 3 ครั้งได้ หากคุณยังรู้สึกไม่ผ่อนคลาย ก็ให้เลือกเพิ่มอาหารเสริมที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือ สมุนไพรแวเลอเรียน ประมาณ 60 มิลลิกรัม ฮ็อปส์ วันละ 100 มิลลิกรัม กาบา (Gaba) วันละ 500 มิลลิกรัมหรือ ทอรีนวันละ 500 มิลลิกรัม ซึ่งถ้าจะให้ไก้ผลดีควรเพิ่มทีละอย่างเท่านั้น เพื่อจะได้ตอบสนองได้ดีขึ้น หากท้ายที่สุดแล้วคุณรับประทานอาหารเสริมทั้งหมดแล้ว ให้ลดปริมาณเหลือครึ่งหนึ่ง หรือรับประทานชนิดที่เป็นสูตรผสม
นายแพทย์จอร์แดน ได้เน้นให้เห็นความสำคัญของ วิตามิน B ชนิดต่างๆที่จะทำให้ความคิดความอ่านในการทำงานเฉียบคม โดยกล่าวว่า นอกจากจะทำงานหลายอย่างแล้ว วิตามิน B ยังช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุดโดยการต่อสู้กับสาร Homocysteine ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงใหญ่อย่างหนึ่งของโรคอัมพฤกษ์และโรคหัวใจ เดวิสแนะนำให้ทาน
- วิตามิน B1 วันละ 50 มิลลิกรัม
- วิตามิน B2 วันละ 30 มิลลิกรัม
- วิตามิน B3 วันละ 100 มิลลิกรัม
- วิตามิน B5 วันละ 75 ไมโครกรัม
- วิตามิน B6 วันละ 2 ไมโครกรัม
- วิตามิน B12 ชนิดที่อมได้วันละ 1,000 ไมโครกรัม
- ฟอลิค แอซิด วันละ 400 ถึง 800 ไมโครกรัม
ทางออกที่ 4 การหาวิธีการออกกำลังกายที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
คุณทราบดีอยู่แล้ว ว่า การออกกำลังกายนั้นมีความสำคัญอย่างมากในการช่วยจัดการกับความเครียดได้และยังสามารถช่วยลดน้ำหนักได้อีกด้วย การศึกษามากมายที่แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายช่วยลดความวิตกกังวลได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับการทำสมาธิ แต่กุญแจสำคัญอยู่ที่ว่า ต้องมีการออกกำลังกายด้วยวิธีที่ถูกต้อง
หากคุณเป็นบุคคลประเภท A ที่ต้องทำอะไรอยู่เสมอ การเล่นกีฬาที่มีการแข่งขันหรือกีฬาหนักๆ เช่น เบสบอล บาสเก็ตบอล แบดมินตัน เป็นต้น ในช่วงวันหยุดอาจทำให้คุณเครียดหนักกว่าก่อนที่จะออกกำลังกายเสียอีก การทำตามโปรแกรมออกกำลังกายให้ได้ผลดีนั้นเป็นสิ่งที่ต้องทำ การไม่ทำตามจุดมุ่งหมายของการออกกำลังกายที่ตั้งเป้าเอาไว้ จะทำให้ความเครียดเพิ่มมากขึ้นไปอีก
เพื่อที่จะสร้างกิจกรรมการออกกำลังกายเป็นประจำที่ดีที่สุด คุณจะต้องดูบุคลิกของคุณเป็นหลัก หากคุณชอบกิจกรรมที่ต้องเข้าสังคม ก็อาจไปร่วมกับชมรมออกกำลังกายต่างๆ หรือการนัดเพื่อนสนิทไปออกกำลังกาย หากต้องการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากขึ้นอีก ก็อาจไปเต้นรำ ซึ่งจะช่วยเร่งอัตราการเต้นของหัวใจ และลดความเครียดลงได้ หากต้องการออกกำลังกายแบบสบายๆ ก็ลอง โยคะหรือรำมวยไทเก๊ก ซึ่งจะช่วยให้จิตใจของคุณสงบลงได้ หรือการว่ายน้ำ การผสมผสานของน้ำกับการเคลื่อนไหวของร่างกายนั้น ดีต่อทั้งร่างกายและทำให้จิตใจสงบลงอีกด้วย
แม้ว่า 4 ทางออกอาจจะไม่ได้ผลที่เฉียบขาด เป็นวิธีหาทางออกจากความเครียดและบรรเทาเท่านั้น เราก็อยากให้คุณได้ลองทำดู คุณจะพบว่าความเครียดไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับคุณอีกต่อไป……………….