ทานอาหารที่เหมาะสม ช่วยลดอาการแสบร้อนได้
การซื้อยาลดกรดโดยที่ไม่มีใบสั่งยาและยาที่มีใบสั่งของแพทย์ เป็นการรักษาที่พบได้บ่อยที่สุดสำหรับโรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal Reflux Disease) หรือ GERD ในบางกรณีที่มีอาการของโรคนี้อย่างรุนแรง อาจจะต้องมีการผ่าตัด
แม้ว่าอาการของโรคกรดไหลย้อนจะส่งผลแย่อย่างไรต่อคุณ แต่การที่จะประสบความสำเร็จในการต่อสู้กับอาการแสบร้อนกลางอกและกรดไหลย้อนนั้นอาจจะทำให้การดำเนินชีวิตของคุณเปลี่ยนแปลงไป ตั้งแต่อาหารที่คุณทานไปจนถึงเสื้อผ้าที่คุณใส่
หากคุณทำตาม 7 นิสัยดังต่อไปนี้ทุกวัน ซึ่งจะช่วยลดอาการของกรดไหลย้อนได้
ทานอาหารมื้อเล็กๆและบ่อยๆ
โดยส่วนใหญ่อาหารมักจะกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคกรดไหลย้อน ในคาวมเป็นจริง บุฟเฟ่ต์ที่คุณทานส่วนใหญ่จะทำให้เกิดอาการแสบร้อนกลางอกได้
การกินอิ่มจนแน่นกระเพาะอาจทำให้ลิ้นเปิดปิดระหว่างกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร (หรือที่เรียกว่า กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างหรือ LES) เพื่อผ่อนคลายและ กระตุ้นกรดในกระเพาะอาหารให้ย้อนกลับขึ้นไปในหลอดอาหาร
การทานอาหารมื้อเล็กหลายๆมื้อตลอดทั้งวัน โดยเฉพาะอาหารเช้าที่มีความสำคัญและเป็นมาตรญฐานมากกว่ามื้ออื่นๆ แต่อาหารกลางวันและเย็นก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน อย่าทานมื้อสุดท้ายดึกเกินไป การรับประทานอาหารใกล้เวลาก่อนนอนอาจไปกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคกรดไหลย้อนได้เป็นอย่างดี
ลดของหวาน
ไม่ว่าจะเป็นช็อคโกแลตหรือคาเฟอีน และอาหารและเครื่องดื่มบางชนิดที่สามารถทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อน (GERD) นั้นแย่ลง
รายการต่างๆรวมถึง อาหารที่มีรสชาติเผ็ด, เนื้อแดงที่ติดไขมัน , มันฝรั่งทอด (และอาหารทอดอื่นๆ) , ผลไม่ที่มีรสเปรี้ยว, หัวหอม, มะเขือเทศ, เนย, น้ำมัน, สะระแหน่, ช็อคโกแลต และ คาเฟอีนอีกด้วย
คุณไม่จำเป็นต้องกำหนดหรือควบคุมอาหารด้วยกล้วย และไก่ต้ม อย่างไรก็ตาม คุณควรจะเรียนรู้และทราบเกี่ยวกับอาหารที่จะช่วยบรรเทาอาการจากโรคกรดไหลย้อนและอาการแสบร้อนกลางอกได้
ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มแอลกฮอล์เป็นความคิดที่แย่มากๆสำหรับคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน โดยเฉพาะหากคุณดื่มมากเกินไป หรือ ดื่มเป็นประจำ
เครื่องดื่มแอลกฮอล์จะช่วยให้กล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างผ่อนคลายลง ซึ่งจะทำให้กรดในกระพาะอาหารค่อยๆซึมเข้าสู่หลอดอาหาร
ในการศึกษาปี 1999 ในวารสารทางการแพทย์ของชาวอเมริกันพบว่า เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่ของคนที่มีอาการเป็นกรดไหลย้อนเพิ่มขึ้นนั้น มาจากการดื่มแอกฮอล์เป็นประจำทุกสัปดาห์ คนที่ดื่มมากกว่า 7 แก้วต่อสัปดาห์มีแนวโน้มว่าจะมีอาการแสบร้อนกลางอกเพิ่มขึ้น
เหตุผลอื่นๆคือการลดน้ำหนัก
การมีน้ำหนักส่วนเกินสามารถนำไปสู่การแสบร้อนกลางอกและโรคกรดไหลย้อนได้ ในการศึกษาปี 2003 พบว่า คนส่วนใหญ่กว่า 10,000 คน มีการเชื่อมโยงกันระหว่าง อาการของโรคกรดไหลย้อนกับดัชนีมวลกาย หรือ BMI กล่าวจากวารสารที่เกี่ยวกับโรคต่างๆ
คนที่มีน้ำหนักเกินประมาณสามเท่ามีแนวโน้มที่จะมีอาการแสบร้อนกลางอกและกรดไหลย้อนได้มากกว่าคนที่น้ำหนักปกติ
ผู้เชี่ยวชาญเองก็ไม่แน่ใจว่า ทำไม ไขมันส่วนเกินหน้าท้องอาจจะมีความดันในกระเพาะอาหาร แต่มันอาจทำให้เกิดการเปบี่ยนแปลงทางเคมีหรือฮอร์โมนที่จะทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและกลายเป็นโรคกรดไหลย้อนได้
ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้าที่คับเกินไป
เช่นเดียวกับการมีไขมันส่วนเกินหน้าท้อง เสื้อผ้าที่รัดรูปจะรัดกระเพาะอาหาร และกระตุ้นให้เกิดกรดไปที่หลอดอาหารได้
คุณต้องแน่ใจในการเลือกใส่เสื้อผ้าว่า เสื้อ กางเกงที่น่ารักเหล่านั้น ใส่แล้วคุ้มค่าไหม หากคุณมีอาการแสบร้อนกลางอก ไม่ควรใส่เข็มขัดที่รัดแน่นจนเกินไป, แถบผ้าที่รัดเอว, ถุงน่อง ซึ่งอาจจะรัดตัวคุณมากเกินไป
การนอนหลับที่ดีขึ้น
การนอนหลับอย่างไรที่ไม่ต้องมีอาการแสบร้อนกลางอก สิ่งที่ต้องทำมีมากกว่าที่คุณคิด การหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารก่อนนอนและยกระดับหมอนที่หนุนให้สูงขึ้น 6 ถึง 8 นิ้วในขณะที่คุณหลับ
หากวางที่ตำแหน่งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องลดความถี่ของการเป็นกรดไหลย้อน แต่การวิจัยแสดงให้เห็นว่า มันจะช่วยให้กรดในกระเพาะอาหารหมดจากหลอดอาหารอย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น การศึกษาหนึ่งได้รายงานว่า 67 % จะเพิ่มขึ้นในการทำให้กรดหมดไป
หากคุณไม่ได้เป็นเจ้าของ Craftmatic เตียงที่สามารถปรับได้ การพิงเตียงที่ออกแบบมาเป็นพิเศษแบบบล็อกหรือใช้ลิ่มโฟม หรือใช้ทั้งสองอย่างที่คุณสามารถหาได้ตามร้านทั่วไป
เลิกสูบบุหรี่
ทุกคนรู้ว่าการสูบบุหรี่จะไปทำลายหัวใจและปอดของคุณได้ แต่อะไรที่เกี่ยวกับระบบการย่อยอาหารของคุณ ?
นิโคติน เช่น แอลกฮอล์ อาจจะทำให้อาการของโรคกรดไหลย้อนแย่ลงไปอีก โดยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่าง ซึ่งเป็นสาเหตุของกรดในกระเพาะอาหารซึ่งไหลกลับเข้ามาในหลอดอาหาร
การสูบบุหรี่ยังทำให้เกิดเกลือน้ำดีซึ่งจะเคลื่อนจากลำไส้เล็กเข้าสู่กระเพาะอาหาร และช่วยลดปริมาณการผลิตน้ำลาย (น้ำลายจะช่วยให้กรดในกระเพาะอาหารออกจากหลอดอาหารและเหลือแต่กรดที่ต้านได้อย่างธรรมชาติและไบคาร์บอเนต)