หนี้ : ทุกคนมีหนี้กันทั้งนั้น มันเป็นความจริง เราเป็นประเทศที่อยู่ในเส้นสีแดง นักศึกษากู้ยืมที่มีหนี้ถึง 2 เท่าตั้งแต่ปี 2007 , หนี้บัตรเครดิตที่เพิ่มขึ้น และมากกว่าหนึ่งในสามของชาวอเมริกันที่ยังไม่ได้จ่ายเงินตามบิลค่าใช้จ่ายของพวกเขาในระยะยาว พวกเขายังคงสะสมหนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้มีการสะสาง
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร หรือ ทำไมต้องใช้เงินเยอะ หรือทำไมยังไม่สามารถใช้หนี้ได้ นักวิทยาศาสตร์แนะนำว่า การมีหนี้สิน หรือการบริหารหนี้สินนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจของคุณได้ ซึ่งจะส่งผลต่อคุณดังนี้
มันสามารถทำให้ความดันโลหิตของคุณเพิ่มขึ้นสูงได้
การศึกษาจากมหาวิทยาลัย Northwestern ในปี 2013 พบว่า ผู้ใหญ่ทุกเพศทุกวัยที่มีอายุระหว่าง 24 ถึง 32 ปี มีอัตราส่วนหนี้สินต่อสินทรัพย์ที่สูง (หมายถึง หากพวกเขาขายของทั้งหมดก็ยังไม่ได้มากพอที่จะนำไปจ่ายหนี้ที่ค้างไว้) นอกจากนี้ยังมีแนวโน้มว่า จะส่งผลต่อสุขภาพอีกด้วย โดยอาจจะเกี่ยวข้องกับมีความดันโลหิตที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย
ศาสตราจารย์ Elizabeth Sweet จากมหาวิทยาลัย Massachusetts Boston ได้กล่าวว่า “เราแปลกใจมากที่เห็นผลกระทบเหล่านี้กับคนวัยหนุ่มสาว และคนที่อยากมีสุขภาพดี ซึ่งจากการศึกษานี้พบว่า การเป็นหนี้นี้ส่งผลต่อสุขภาพและทำให้เป็นปัญหาสุขภาพสำหรับสังคมในปัจจุบัน”
มันอาจนำไปสู่ความเครียดและวิตกกังวล
คุณอาจไม่จำเป็นต้องศึกษาสิ่งที่เราจะบอกคุณนี้ แต่การวิจัยยังพบว่า ผู้ที่มีหนี้เยอะนั้น มีระดับความเครียดมากถึง 11.7 % ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย (และแน่นอนว่าระดับความเครียดที่สูงขึ้นนี้ จะเชื่อมโยงกับความดันโลหิตที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน)
เราจะเห็นว่า จริงๆแล้วหนี้ไม่ได้มีผลกระทบที่รุนแรงมากต่อสุขภาพทางจิตใจ แต่มันจะเกิดความรู้สึกจากข้างในและไม่สามารถจะระบายออกได้และจะยืดระยะเวลาออกไปเป็นเวลานานและสร้างความเสียหายได้ค่อนข้างมาก
มันถูกเชื่อมโยงกับภาวะซึมเศร้า
ความเครียดที่เกิดจากการมีหนี้นี้ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนหนุ่มสาวเท่านั้น ผู้สูงอายุก็สามารถตกเป็นเหยื่อของปัญหาทางการเงินนี้ด้วยเช่นเดียวกันและมันสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของพวกเขาได้อีกด้วย
ในปี 2014 การศึกษาของมหาวิทยาลัย Rutgers ได้กล่าวว่า ผู้สูงอายุ ที่มีอายุ 51 ปีและมีหนี้สูงที่ไม่มีหลักประกัน จากการใช้บัตรเครดิตและค่ารักษาพยาบาล ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและรู้สึกว่าไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ทางการเงินของพวกเขาได้
มันอาจจะลดภูมิคุ้มกันของคุณ
แม้ว่าจะยังไม่ได้รับการยืนยันอย่างแน่ชัดเกี่ยวกับการเชื่อมโยงระหว่าง การเป็นหนี้และภูมิคุ้มกัน แต่หากเราลองวาดภาพที่สามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง 2 อย่างนี้ได้ เราจะพบว่า ความเครียดที่เรื้อรังจะส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยตรงและเราก็รู้ว่ามันเป็นแหล่งสะสมของความเครียดที่เรื้อรัง ความกังวลเกี่ยวกับเงินจะทำให้คุณตื่นขึ้นมากลางดึก ซึ่งการที่คุณเครียดนี้จะทำให้ความสามารถในการต่อสู้กับเชื้อโรคในร่างกายลดลง
มันสามารถส่งผลกระทบต่อการเข้าพบแพทย์
คนที่มีการใช้ยอดบัตรเครดิตที่สูงและมีหนี้ที่เกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลนี้ มีโอกาสน้อยที่จะไปพบแพทย์หรือทันตแพทย์ เพื่อตรวจสุขภาพตามปกติหรือแม้กระทั่งหากพวกเขาป่วย ก็จะไม่ไปพบแพทย์ จากการศึกษาในปี 2013 จากมหาวิทยาลัยมิชแกน (บ้าน, รถ หรือนักเรียนที่เป็นหนี้การศึกษา,หรือหนี้อื่นที่ไม่ได้มีผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล)
คนเหล่านี้จะไม่สามารถสะสมค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากว่าพวกเขาไม่ได้รับหลักประกันที่ดี มันเป็นอีกกลไกที่สำคัญจริงๆ เราต้องพิจารณาว่าหนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพ แต่มันก็ยังต้องให้คุณรักษาร่างกายไว้ด้วยเช่นเดียวกัน
มันอาจจะทำให้ปวดคอได้
คุณมีอาการปวดหรือปวดเรื้อรังหรือไม่ ? จากโพลที่วัดด้านสุขภาพระบุว่า ยอดการใช้จ่ายของบัตรเครดิตของคุณนั้นมีบางสิ่งบางอย่างที่อาจส่งผลต่ออาการทางกายภาพของคุณได้ ในการสำรวจปี 2008 พบว่า คนส่วนใหญ่ 44 % ที่มีความเครียดเรื่องหนี้สูง ซึ่งทำให้มีอาการปวดศีรษะหรือไมเกรน เมื่อเทียบกับผู้ที่มีระดับต่ำกว่า 15 % นอกจากนี้พวกเขายังมีแนวโน้มที่จะมีความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ ปวดหลัง ปวดคอหรือมีปัญหาด้านระบบทางเดินอาหารและอาจมีภาวะหัวใจวายได้
มันอาจทำลายความสัมพันธ์ของคุณ
การเป็นหนี้ไม่จำเป็นว่าต้องทำให้ความสัมพันธ์ของคุณเปลี่ยนแปลงไป แต่สำหรับบางคู่อาจเป็นปัญหาที่สำคัญเพราะมีการเถียงกันอยู่บ่อยครั้งและถือว่าเป็นสัญญาณที่ไม่ดี
ในการศึกษาปี 2012 ที่ตีพิมพ์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว คู่บ่าวสาวซึ่งไม่เห็นพ้องกันเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง มีแนวโน้มที่จะหย่าภายใน 5 ปี และทำให้เถียงกันเกี่ยวกับปัญหาอื่นๆไปด้วย เช่น เวลาที่ใช้ด้วยกัน เป็นต้น